Bangpakok Hospital
  • A
  • A
  • A
BPK Hotline

เมื่อลูกน้อยเป็นโรคภูมิแพ้ คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลอย่างไร

21 มี.ค. 2568


     โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก พ่อแม่หลาย ๆ คนคิดว่า เพราะลูกยังเล็กจึงเป็นภูมิแพ้เมื่อโตขึ้นไปอาการของโรคอาจจะหายไปเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ควรจะทำคือการพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาที่ต้นเหตุ เพื่อเป็นการรับมือกับโรคภูมิแพ้ที่จะเกิดขึ้นกับลูกน้อย ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา

ภูมิแพ้คืออะ?
     ภูมิแพ้ (Allergy) คือ ภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองเกินปกติหรือผิดปกติต่อสารที่ไม่เป็นอันตรายภายนอกที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น ฝุ่น, ละอองเกสร, หรืออาหารบางชนิด โดยที่ร่างกายไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นสารที่เป็นอันตรายหรือไม่ จึงทำให้เกิดการตอบสนองที่เกินความจำเป็น เช่น การหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น คัดจมูก จาม มีน้ำมูกไหล คัน ผื่น หรือตาบวม

สาเหตุที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ในเด็ก
     สาเหตุที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ในเด็กมีหลายปัจจัย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการเกิดภูมิแพ้
     1. พันธุกรรม (Genetic Factors)
          - เด็กที่มีพ่อแม่หรือสมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหืด, โรคผิวหนังภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis), หรือไข้ละอองเกสร (Allergic Rhinitis) มีแนวโน้มที่จะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้สูงขึ้น
          - การถ่ายทอดทางพันธุกรรมทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองเกินปกติเมื่อพบกับสารก่อภูมิแพ้
     2. สิ่งแวดล้อม (Environmental Factors)
          - สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ฝุ่น, ละอองเกสร, หรือมลพิษในอากาศ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เด็กมีอาการภูมิแพ้
          - การสัมผัสกับสารเคมี หรือสารระคายเคือง เช่น สารเคมีในบ้านหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ควันธูป น้ำหอม ควันบุหรี่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการภูมิแพ้หรืออาการหอบหืด
          - การสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง การสัมผัสกับขนสัตว์จากสุนัขหรือแมวอาจทำให้เด็กเกิดอาการแพ้
          - การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไปในช่วงแรกของชีวิตมีการศึกษาบางส่วนที่แสดงว่าเด็กที่ใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไปในช่วงแรกของชีวิตอาจเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้  
     3. การรับประทานอาหาร (Dietary Factors)
          - อาหารบางชนิด เช่น นม, ไข่, ถั่ว, แป้งสาลี หรืออาหารทะเล เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่สามารถทำให้เด็กเกิดอาการแพ้ได้ง่าย
          - การขาดสารอาหารบางชนิดในช่วงที่เด็กยังเล็ก เช่น การขาดวิตามินดี หรือการได้รับอาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้บางชนิดอยู่ในช่วงครรภ์ทารก และช่วงทารก อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภูมิแพ้
     4. ภาวะทางสุขภาพอื่น ๆ (Other Health Conditions)
          - เด็กที่มีไซนัสอักเสบบ่อยๆ  หูอักเสบบ่อยๆ นอนกรน มักมีสาเหตุมาจากโรคภูมิแพ้
          - ภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ เช่น การเกิดภูมิแพ้ต่ออาหารหรือสารอื่นๆ ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงให้กับเด็ก

โรคภูมิแพ้ในเด็กที่พบได้บ่อย
     1. โรคหืด (Asthma) เป็นภาวะที่ทางเดินหายใจอักเสบและตีบแคบลง ทำให้หายใจลำบาก หรือมีอาการไอหรือลมหายใจเสียงดัง โดยมักเกิดจากการแพ้สิ่งต่างๆ เช่น ฝุ่น, ละอองเกสร, หรือสารเคมีในอากาศ
     2. โรคผื่นแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งทำให้เกิดอาการคัน แดง และแห้งบนผิวหนัง โดยทั่วไปจะเกิดในทารกและเด็กเล็ก
     3. ไข้ละอองเกสร (Allergic Rhinitis) หรือที่เรียกว่า หวัดจากภูมิแพ้ ทำให้เด็กมีอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก จาม และคันตา ซึ่งมักเกิดจากการแพ้ละอองเกสรหรือไรฝุ่น
     4. อาหารแพ้ (Food Allergy) เด็กบางคนอาจแพ้อาหารบางชนิด เช่น นม, ไข่, ถั่ว, แป้งสาลี หรืออาหารทะเล ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้
     5. การแพ้แมลง (Insect Allergy) การแพ้ต่อการกัดหรือต่อยจากแมลงบางชนิด เช่น ผึ้งหรือมด

วิธีการทดสอบภูมิแพ้
     1. การทดสอบภูมิแพ้ที่ผิวด้วยวิธีการสะกิด (Skin Prick Test)

          เป็นการทดสอบภูมิแพ้ที่ใช้เพื่อทดสอบการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ โดยการทดสอบนี้จะใช้เข็มเล็ก ๆ สะกิดผิวหนังที่บริเวณแขนหรือลำตัวเพื่อให้สารก่อภูมิแพ้ที่ถูกกำหนดไว้เข้าสู่ผิวหนัง เมื่อภูมิคุ้มกันตอบสนองกับสารก่อภูมิแพ้ จะทำให้เกิดการบวมแดง และคันที่บริเวณที่ทดสอบ ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการแพ้ต่อสารนั้น

          มีข้อดีคือให้ผลลัพธ์รวดเร็วภายใน 15-20 นาที โดยไม่ทำให้เด็กเจ็บมากเกินไป ใช้การเจาะผิวหนังด้วยเข็มเล็ก ๆ สามารถทดสอบสารก่อภูมิแพ้หลายชนิดในครั้งเดียว แต่ก่อนทดสอบต้องงดรับประทานยาแก้แพ้ทุกชนิดอย่างน้อย 7-10 วัน
     2. การทดสอบภูมิแพ้ด้วยการตรวจเลือด (Blood Testing)

          คือการตรวจหาปริมาณ IgE (Immunoglobulin E) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อมีการตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ในเลือด โดยการตรวจเลือดจะช่วยระบุสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ในร่างกาย

          วิธีนี้มักใช้เมื่อไม่สามารถทำการทดสอบผิวหนังได้ ไม่สามารถหยุดยาแก้แพ้ได้ หรือเมื่อมีความเสี่ยงจากการทดสอบผิวหนัง เช่น การแพ้รุนแรงหรือผิวหนังที่บอบบาง การตรวจเลือดจะช่วยให้แพทย์ทราบว่าร่างกายของเด็กมีการตอบสนองต่อสารใดบ้างที่อาจทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น, ละอองเกสร, อาหาร หรือสัตว์เลี้ยง เป็นต้น

     3. การทดสอบภูมิแพ้ด้วยวิธีอื่นๆ
          - การทดสอบการแพ้อาหาร (Food Allergy Testing) การทดสอบภูมิแพ้อาหารสามารถทำได้ทั้งการทดสอบผิวหนังหรือเลือดเพื่อหาความไวต่ออาหารบางชนิด เช่น นม, ไข่, ถั่ว, แป้งสาลี และอาหารทะเล
          - การทดสอบการแพ้ยาหรือแมลง (Drug or Insect Allergy Testing) ในกรณีที่สงสัยว่าภูมิแพ้เกิดจากยา หรือการถูกแมลงกัดต่อย แพทย์อาจจะต้องทำการทดสอบภูมิแพ้ตามความเหมาะสม เช่น การทดสอบผิวหนัง หรือการตรวจเลือด
          - การทดสอบอาการหืด (Bronchial Challenge Test) การทดสอบนี้ใช้เพื่อตรวจหาภูมิแพ้ที่เกี่ยวข้องกับโรคหืด (Asthma) โดยการให้เด็กหายใจสารก่อภูมิแพ้หรือสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืด เพื่อดูว่าเด็กมีการตอบสนองต่อสารนั้นหรือไม่

การรักษาโรคภูมิแพ้ในเด็กต้องทำอย่างไร ?

1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นอาการภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น, ละอองเกสร, ขนสัตว์ หรืออาหารที่เด็กแพ้เป็นวิธีที่สำคัญในการควบคุมโรค

2. ใช้ยาแก้แพ้ เพื่อบรรเทาอาการคัน มีน้ำมูกไหล หรืออาการแพ้ต่างๆ เช่น ยาสเตียรอยด์ ใช้ในกรณีที่มีการอักเสบรุนแรง เช่น โรคผิวหนังภูมิแพ้ หรือการแพ้ในทางเดินหายใจ ยาพ่นจมูก ยาขยายหลอดลม ใช้สำหรับโรคหืดที่มีอาการแย่ลงจากการแพ้

3. การรักษาด้วยภูมิแพ้ (Immunotherapy) การทำวัคซีนภูมิแพ้  เป็นวิธีที่ช่วยลดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้

4. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เช่น ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ

วิธีการป้องกันเด็ก ให้ห่างไกลจากอาการภูมิแพ้

1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุของอาการแพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสร หรือหลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ที่มีขน และหมั่นทำความสะอาดบ้าน
2. อาหารที่ทำให้แพ้ หากทราบว่าเด็กแพ้อาหารชนิดใด เช่น นม, ไข่, ถั่ว, ควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้น

3. ควรให้เด็กกินอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน เช่น ผัก, ผลไม้, และอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ (probiotics) เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

4. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ให้เด็กได้รับการตรวจสุขภาพและวัคซีนตามตารางที่กำหนด

5.การทำการทดสอบภูมิแพ้เมื่อต้องการจะช่วยให้รู้ว่ามีสารก่อภูมิแพ้ใด ๆ ที่เด็กอาจแพ้ และช่วยในการหลีกเลี่ยงให้ตรวจสาเหตุได้

    ดังนั้นหากเด็กๆมีอาการผิดปกติที่แสดงออก ไม่ว่าระบบทางเดินหายใจ  ระบบทางเดินอาหาร  และทางผิวหนัง อย่านิ่งนอนใจ ควรมาพบแพทย์  เพื่อให้แพทย์พิจารณา หาสาเหตุกรณีที่แพทย์เห็นสมควร ซึ่งจะทำให้สามารถทราบว่าควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือทานอาหารประเภทใดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และยังสามารถนำไปสู่การวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด

สนับสนุนข้อมูลโดย : พญ.ธิดารัตน์ พงศ์สิริพิพัฒน์ แพทย์เฉพาะทางด้านกุมารเวชศาสตร์ภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา

ศูนย์การแพทย์ :  ศูนย์กุมารเวชกรรม ชั้น 2 โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1745 ต่อ ศูนย์กุมารเวชกรรม

Go to top
Copyright © 2019 Bangpakok Hospital All rights reserved.